บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

มุมมองเกี่ยวกับความรัก


ไม่ใช่ทุกข์เพราะรักแต่เพราะความไม่รู้
          พวกเราชอบใช้ชื่อของความรักที่ตรงกันข้ามกับความรัก อย่างเช่น ริษยา หึงหวง ก้าวก่าย ครอบครอง บอกว่าคือความรัก หรือแม้แต่ถ้าไม่สมหวังก็ต้องฆ่ากันตายไปข้างหนึ่งเพราะความรัก ผิดนะ ไม่มีปัญญา เราได้ยินข่าว เวลาที่วัยรุ่นมีความรักและขาดปัญญา ชอบคิดว่าถ้าเขาไม่อยู่กับเรา เราไม่สมหวัง เราก็ต้องฆ่าเขาและฆ่าตัวเราเองทิ้ง นี่น่าสงสารมาก จากความคิดผิด ขาดปัญญาจริงๆ และเมื่อไรที่เราเข้าใจปัญญาแห่งความเป็นจริงว่า ความรักคืออะไร เราจะสามารถใช้พลังแห่งความรักในการสร้างสรรค์อย่างที่หลวงพ่อบอก มันจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกับความดี อันนับในการจรรโลงชีวิตให้สูงขึ้น การที่ไปฆ่ากันนั้นนะ ไม่ใช่ความรัก เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความหลงผิด หลงคิดว่าเขาทำให้เราทุกข์
          มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทุกข์ของเราเพราะเขาทำรึ พระพุทธเจ้าว่ามิใช่อย่างนั้น และคนถามก็ถามต่อ ถ้าเขาไม่ทำเราทำเองใช่ไหม บอกไม่ใช่อย่างนั้น เราก็ไม่ได้ทำ เขาก็ไม่ได้ทำ แล้วความทุกข์ในหัวใจเราที่มันบอบช้ำ ใครเป็นคนทำ จะได้ไปฆ่าทิ้งซะ ตอบว่า ความไม่รู้ ความไม่มีปัญญา ทำให้เกิดความอยาก และปรุงแต่งว่าเป็น “เรา” นั่นแหละ คือเหตุแห่งความทุกข์



ความรักที่แท้
          เราอยู่ในช่วงเวลาของความผลิแย้ม ดอกไม้ที่เริ่มผลิแย้มทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกหญ้า ดอกชมพู่มะเหมี่ยว ดอกภู่ระหง ดอกกุหลาบ ทุกชนิดจะสวยหมดแหละ ชีวิตของเยาวชนก็กำลังอุดมและเบ่งบานเต็มที่ ทั้งศักยภาพของร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชื่นชมในรูปสมบัติ ความงามที่เราได้มาของกันและกัน ตรงนี้เราต้องมีปัญญามาก เราต้องชื่นชมของขวัญ หรือสิ่งที่ได้มาของแต่ละคนอย่างมีปัญญานะ ไม่ใช่ อย่างเห็นแก่ตัว ถ้าเราใช้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่เข้าใจ คิดว่านี่คืออริยทรัพย์ที่ได้มา และต้องใช้เพื่อเอาประโยชน์ตน เพื่อแย่งชิง เพื่อให้ได้ความรัก การครอบครอง ก็จะเกิดโทษมหันต์ ความงาม ความเยาว์วัย และความรัก มันเป็นดอกไม้ของกาลเวลาและเป็นของขวัญของธรรมชาติที่อบอุ่น แต่เราต้องใช้อย่างมีปัญญา
          หลวงพ่อตอนเด็กๆ มีคำถามอยู่สองคำถามที่ต้องค้นหาให้เจอในชีวิต คำถามแรกที่สงสัยมาตั้งแต่เด็ก “ชีวิตคืออะไร” ต้องการหาคำตอบให้ได้ คำถามที่สองสงสัยอยู่เหมือนกันว่า “ความรัก” น่ะมันมีจริงหรือเปล่า ความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร เคยอ่านในหนังสือนิยายว่า ความรักหล่อเลี้ยงโลกทั้งใบมันจริงหรือ
          ช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เราต้องรู้จักเรียนรู้ว่า ความรักคืออะไร มันมีจริงหรือเปล่า และมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ ลองดูให้ดีนะเวลาที่เราเจอเพศตรงข้าม อันดับแรกเลย สายตาและปัญญาเราไม่ค่อยจะคมกล้า ผู้ชายส่วนใหญ่จะมองผู้หญิงสวยไปหมดนะ เพราะแยกไม่ค่อยออกว่าต่างกันตรงไหน พอโตขึ้นนิดหนึ่งเราแยกแยะออกว่า สวยตรงไหน สวยแบบไหนกันแน่



ความรักเกิดจากความเข้าใจในสายสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมชาติ
          ใครเชื่อบ้างว่าในลูกแตงโมมีดวงตะวันอยู่ ลองเอาลูกแตงโมมาผ่าดูมีดวงตะวันไหม มีนะ ไม่ใช่สีแดงเฉยๆ ความอบอุ่นจากแสงตะวันต่างหาก เพราะทำให้ลูกแตงโมสุกได้ เห็นไหมว่า ทุกชีวิตเป็นสายสัมพันธ์ ในมะม่วงอกร่องก็มีดวงจันทร์ฉายอยู่นะ ไม่เชื่อไปผ่าดูมีสีเหลืองนวลหวานฉ่ำ มันอาศัยค่ำคืนอันเหน็บหนาวบ่มเพาะให้เกิดความหอมหวานในตัวมันนะ
          ที่เข้าค้อ ก่อนที่หลวงพ่อจะลงมานี่ไม่สบายมาก อบรมชาวบ้านเสร็จก็เป็นไข้ ไม่มีแรงเลย แต่ก็ต้องขึ้นมาอบรมพวกเขาต่อ ตอนเดินขึ้นมาก็แหงนมองท้องฟ้า เห็นกลีบของราตรีที่คลี่บาน เห็นดวงดาวระยิบระยับหยาดเยิ้มอยู่ในเวหา สร้างความสดชื่นคืนพลังให้แก่ชีวิต เราเห็นว่าชีวิตคือ กระแสสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมชาติทั้งหมด เราสามารถจะดูดซับเอาพลังแห่งความดีงามวันนั้นเป็นกำลังใจ ดวงดาวกินไม่ได้นะ แต่ให้ความหวังอันงดงามของชีวิต ชีวิตเราไม่ใช่เศษเสี้ยวของจักรวาล แต่เป็นหนึ่งเดียวของสายสัมพันธ์ทั้งหมด มีแต่กระแสสัมพันธ์ในนั้น ไม่มีคำว่าฉัน ไม่มีเรา เราอย่ามองที่เปลือกแห่งความแตกต่าง ให้เรามองทะลุเปลือกเข้าไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่ร่างกายที่เราใช้ลมหายใจเดียวกัน สายน้ำอันเดียวกัน ผลไม้จากแหล่งนมของแผ่นดินเดียวกัน หากเราเข้าใจสันติภาพจึงเกิดขึ้น สุขจะเกิดขึ้นในหัวใจเรา เราจะมองทุกชีวิตด้วยความสงสาร ด้วยความเมตตา แทนที่จะทับถมและทำลาย แต่เราจะรักษาสันติไว้ ให้โลก เพื่อมนุษย์รุ่นหลังที่จะตามมาจะได้รับฟังคำสอนที่ถูกต้องและมีหนทางที่ถูกต้อง เวทีของสังคมโลกจะวิวัฒน์ หรือวิบัตินั้นอยู่ในกำมือของพวกเรา
          ดังนั้น เราต้องเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ว่าอีกยี่สิบปีจะขึ้นเวทีแล้วค่อยไปชก มันไม่ได้ ต้องซ้อมไว้ก่อนตั้งแต่วันนี้ ซ้อมอย่างไร ซ้อมด้วยความรู้สึกตัว ด้วยจิตที่เป็นปกติ ด้วยจิตที่เป็นสันติ ด้วยจิตที่เป็นปัญญา ที่ไม่คิดเบียดเบียน เราพัฒนาปัญญาของเราให้งอกงามและผลิแย้มไปสู่ความสว่างไสวมากขึ้น มนุษย์จะได้ไม่เป็นมนุษย์ถ้ำตลอดเวลา จะได้ไม่เป็นหัวหน้าเผ่าที่จะครอบครองพื้นแผ่นดิน เพื่อครอบครองผลประโยชน์ แต่จะเป็นมนุษย์ที่เข้าใจกันและกัน และแบ่งปันผลไม้ที่มันมีมากพอเหล่านี้ให้กับพวกเราทุกๆคน และเพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เพื่อผลิแย้มเป็นปัญญา ดวงใหม่ให้มากกว่าที่มีอยู่



 
คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า
          วันหนึ่งหลวงพ่อได้ประจักษ์กับตัวเอง ตอนที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาไม่สวยเลย ไม่อยู่ในสายตาเลย ผอมแห้ง หน้าตกกระ และเดินเสียงดัง เราไม่ค่อยชอบเลย เพราะไม่สวยแล้วยังเดินเสียงดังอีก วันหนึ่งเห็นภารโรงขึ้นไปแบกเก้าอี้ชั้นสอง เด็กผู้หญิงคนที่หน้าตกกระ ผอม และไม่สวยคนนี้ แกลุกขึ้นวิ่งจากโต๊ะและก็ไปแบกโต๊ะลงมา เหลียวไปมอง โอโฮ เห็นความงามในจิตใจ เธอทำได้อย่างไร ขณะที่คนอื่นนั่งเฉย เรามองทะลุผ่านใบหน้าตกกระและร่างกายที่ผ่ายผอม มองพรวดถึงหัวใจที่งดงาม เราทำตามบ้างเพราะเห็นความงาม เราลุกขึ้นไปช่วยเขาแบกโต๊ะบ้าง เห็นไหม มันรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความดี ความรู้สึกนึกคิด นิสัยก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียวกันแต่ด้านร่างกายเท่านั้น คนที่จดทะเบียนแต่งงานกัน ทำไมยังทะเลาะกัน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน รักอมตะ ทุกคนเห็นหรือยังว่ามันมีจริงนะ มันมีจากที่เราชื่นชมในความดี ความดีมันอยู่ที่ใครเราก็รักไว้ตรงนั้น รักความดีที่อยู่ในตัวเขาต่างหาก แม้ร่างกายจะเหี่ยวเฉาไป แต่ความดียังอยู่ ส่วนความรักก็ยังอยู่เป็นหนึ่งเดียว ถึงคนนั้นตายไปแล้ว มันก็ไม่รู้สึกว้าเหว่ โหยหา หรือว่าขาดหาย เพราะไม่ได้หายไปไหน เพราะความรักและ ความดีนี้อยู่ในหัวใจ
          เด็กๆ ต้องเลือกให้เป็น เรามีจิตวิญญาณและเป็นดวงจิตที่เดินทางในห้วงวัฎฎสงสารที่เวิ้งว้าง อยากมีเพื่อนร่วมเดินทาง เราต้องเลือกที่มีศรัทธาเสมอกันนั้น มันจะเป็นกำลังใจ เพราะเรามีเป้าหมายร่วมกันชัดเจน จึงมีจุดเริ่มต้นร่วมกัน เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ส่งเสริมในความดีงามซึ่งกันและกัน



มีสติเพื่อความเบิกบาน
          ต้นทางของชีวิต ต้นทางของความงอกงาม เราต้องทำเหตุใกล้ของมัน ต้องรู้จักเหตุของความเจริญ เหตุของความเจริญคืออะไร คือทำทุกย่างก้าวของเราอย่างมีสติ ต้องมีสติในสิ่งที่เราทำและจะมีความสุข และมีความเบิกบาน
          พระเด็กรูปที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง ท่านเห็นพ่อท่านเสียชีวิตและแม่ร้องไห้ มีความสงสารจับใจขึ้นมาทันที เลยว่าไม่อยากเห็นคนเป็นทุกข์เลย อยากช่วยให้คนพ้นทุกข์ ท่านตัดสินใจออกบวชอย่างมีเป้าหมายแน่นอน อธิษฐานเลยว่าจะบวชเพื่อมาช่วยคนให้พ้นทุกข์ จะไม่เสียดายแรงงานแรงกายทั้งหมดของชีวิตเลย สิ่งที่ได้มา ท่านเสียสละคืนส่วนรวมหมด
          มีพระผู้ใหญ่ไปบวชนำปัจจัยมาให้พระเด็กองค์นี้ ท่านก็รีบเอาไปหยอดตู้บริจาคสร้างวัดทันทีเลยจากสิ่งที่ได้มา ท่านรีบทำความดีทันที ไม่ต้องไปรอเวลาว่าเมื่อนั้น เมื่อนี้ ทำทุกขณะกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ทำเพื่อที่จะอยู่ข้างหน้า ไม่ได้มีแผนมาก่อน ว่าชีวิตของท่าน จะไปเก็บขยะที่วัด จะไปปลูกต้นไม้ที่วัด และท่านไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่ที่วัดด้วย ท่านบังเอิญไป
          กับหมู่คณะ วันนั้นหลวงพ่อไปบรรยายที่ธรรมศาสตร์ และ พระอาจารย์ดุษฎีก็ประกาศว่าใครจะตามไปปฏิบัติที่วัด หลวงพ่อพร้อมจะออกค่ารถ ค่าเดินทางให้ พระเด็กรูปนี้ก็ไปด้วย ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าไปกับหมู่คณะเลย พอไปถึงที่วัดแล้วมีความสุข ก็เลยไม่ได้กลับมากรุงเทพฯ อีกต่อไป
          ท่านไปอยู่ที่วัด โดยไม่ได้มีแผนว่าจะไปเก็บขยะ ไปปลูกต้นไม้ แต่ทำทุกปัจจุบันขณะอย่างงดงาม อย่างมีความสุข และเป็นตัวอย่างให้กับชุมชนอย่างเงียบกริบ ชุมชนได้เรียนรู้อย่างเงียบกริบ การทำความดีนี่มันเกิดขึ้นจากปัจจุบันขณะ ก็จะทำให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่แห้งแล้ง ถ้าเราสามารถเข้าใจเรื่องของกระแสสายสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ชีวิตก็จะไม่แห้งแล้ง 
          สมัยก่อนตอนหลวงพ่อเป็นฆราวาส ไปอยู่ป่าเขาคนเดียว คนสงสัยมาก ไปอยู่ได้อย่างไร มันน่าจะเหงา มันน่าจะดูแห้งแล้ง ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก เดินผ่านใบไม้อ่อนสักใบหนึ่ง เอามือไปจับใบไม้ เหมือนจับมือเด็กสักคนหนึ่ง มันเป็นเพื่อนกัน มีความสดชื่นขึ้น เรามีเพื่อนอยู่รอบตัวเรา เห็นมดเดินผ่าน มดตัวนั้นอาจเคยเกิดมาเป็นญาติพี่น้องกับเรา วันนี้มันมาเป็นมด มันน่ารักจริงๆ ดูแล้วมันมีความสุข เรายังมีเพื่อนร่วมชีวิต ยังมีเพื่อนร่วมความรักอยู่ข้างๆ เรา แม้แต่เห็นหมาขี้เรื้อนนอนในพุทธมณฑล มองหมาขี้เรื้อนยังหลงรักเลยนะโยม แต่ไม่ใช่รักเพื่อจะไปครอบครอง แต่รักมันด้วยความปรารถนาดี รักด้วยอยากให้เขามีความสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ แม้ชีวิตมันแห้งโหย แต่ขณะใดที่เราคิดจะให้ ชีวิตจะมีพลังแห่งความชุ่มชื่นขึ้นมา มีน้ำพุอันศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจ ร่างกายเราแผ่ซ่านด้วยความสุข มันมีความชุ่มชื่นแห่งความรักที่หล่อเลี้ยงอยู่ 

 
ศัตรูตัวฉกาจคือความอยากในใจเรา

          ถ้าเราจัดการกับศัตรูผิดตัว ทุกข์เราจะเพิ่มขึ้น ถ้าเราจัดการกับศัตรูถูกตัว ความทุกข์ถึงจะหาย ศัตรูที่ถูกตัวคืออะไร คือความอยากในหัวใจเรานั่นเอง คือความไม่รู้จักพอในหัวใจต่างหาก ไม่ใช่เขา และไม่ใช่เรา  ความอยากไม่ได้มีตัวตนนะ มันสั่งให้เราทำ สั่งให้เราด่า สั่งให้เราโลภ  หันไปดูซิว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร มันไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป 

การพัฒนาปัญญาเชิงสร้างสรรค์
          เราควรพัฒนาปัญญาขึ้นมาด้วยความคิดเชิงสร้างสรรค์ ไม่ปล่อยเวลาจมปลัก ในการคิดที่จะเบียดเบียนหรือคิดที่จะโลภ “ให้รู้จักพอ” นี้คือคำสอนของพระพุทธองค์นะ สิ่งที่จะทำให้ปัญญาตีบตันมีอยู่สามอย่าง 
          อย่างแรก คือความคิดที่จะโลภไม่รู้จักพอ ปัญญาตันแน่นอน อย่าไปคิดว่าพวกโลภเขาเก่ง เขาฉลาด กอบโกยได้มาก การทำอย่างนั้น แท้จริงไม่มีปัญญา ถ้าคนมีปัญญาจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก เพราะมันรู้ว่าบั้นปลายจะรับผลอย่างไร อย่าไปมองขโมยตอนเวลาที่เขากิน มันไปขโมยของมากินอุดมสมบูรณ์ มองมันตอนติดคุกบ้าง มันทรมานแค่ไหน อย่าไปมองคนที่เมายาบ้าตอนคึกคะนองสนุกสนาน มองตอนที่มันรับผลบ้างว่าผลที่มันได้รับเสียหายต่อครอบครัวต่อสังคมขนาดไหน
          ฉะนั้นพวกเราก็เหมือนกัน เราเป็นเยาวชนที่มีพลังอยู่มากมาย ใช้พลังไปในทางสร้างสรรค์ เสียสละไม่ใช่กอบโกย ที่วัดอาตมามีพระเด็กรุ่นๆ ไปอยู่ 1 รูป หลวงพ่อนะเดินจงกรมตอนตีสองหน้ากุฏิ เห็นเงาดำทะมึนสูงๆ มายืนอยู่บนยอดเขาไม่ไกลเท่าไร มันอะไรกัน นั่นผีหรือคนแปลกหน้าที่ไหน ก็เลยร้องถามไปว่าใครนะ ได้ยินเสียงว่า ผมเองครับ เราถามว่าจะไปไหน  ผมเห็นหลวงพ่อเดินจงกรมอยู่ ผมไม่กล้าเดินผ่าน ผมจะไปรดน้ำต้นไม้ครับ พลังเยอะ ตื่นตั้งแต่ตีสอง เริ่มทำความดีแต่มืด อีกครั้งหนึ่ง คนงานสร้างกุฏิและทาสีเสร็จ เขาก็เอากระป๋องสีโยนทิ้งหมกอยู่ในดงป่า พระรูปนี้ไปเห็นเข้า ท่านจบปริญญาตรีเหมือนกันนะ ท่านเอาสายไฟไปร้อยกระป๋องสีอีรุงตุงนังที่หมกอยู่ในราวป่า แบกมาเต็มเลย แบกเอาไปไหน ไปให้ชาวบ้านเพื่อให้เขาเอาไปขายเป็นประโยชน์ได้ นี่คือการใช้พลังที่มีอยู่อย่างมากมาย  เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น
          พระรูปนี้เวลาท่านปลูกต้นไม้  มันมีถุงดำใช่ไหม พอท่านปลูกต้นไม้ลงแล้ว ถุงดำนะท่านเอามาพับทีละใบๆ เด็กชาวบ้านที่เคยปลูกต้นไม้มาเห็นท่านนั่งพับอยู่ ก็ลุกขึ้นไปช่วยพับ อย่านึกว่าการกระทำเล็กๆ นะมันไม่มีผล เด็กชาวบ้านรู้จักใช้สิ่งของต่างๆ อย่างคุ้มค่า รู้จักความงดงามของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มันส่งต่อไปยังเมล็ดพันธุ์อย่างเงียบกริบ โดยไม่ต้องสอน 
          พระรูปนั้นทำอะไร เขาใช้พลังงานทุกๆ ย่างก้าวอย่างมีประโยชน์  อย่างมีความสุข อย่างมีความเชื่อมั่น ทำมาจากฉันทะ ทำด้วยความรัก  ด้วยความสุข จากความเบิกบานอันนั้น และความเบิกบานทำให้เกิดอะไรรู้ไหม ความเบิกบานทำให้เกิดความสุข เกิดสมาธิ สมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญา หลวงพ่อบอกแล้วว่าปัญญาในศาสนาพุทธทำไม่ได้ อย่าไปทำปัญญาขึ้นมานะ  ไม่มีใครหรอกที่จะทำผลไม้ได้ เพราะผลไม้มันงอกงามจากดอกไม้ ไม่มีใครทำดอกไม้ได้หรอก เพราะดอกไม้มันงอกงามจากกิ่งก้าน ไม่มีใครทำกิ่งก้านได้หรอก เพราะกิ่งก้านมันงอกงามจากเมล็ด แล้วใครทำเมล็ดได้ล่ะ มันมาจากเหตุปัจจัยที่พอเหมาะพอดี




ความรักกับความใคร่


             

คุณเข้าใจความหมายของคำสองคำนี้มากน้อยเพียงใด ถ้าคุณเข้าใจคำสองคำนี้ผิดคุณก็จะได้สิ่งที่ผิดไป เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าทุกคนนั้นต่างมีความต้องการความรัก แต่คุณนั้นเข้าใจคำว่ารักมากน้อยเพียงใด บางครั้งคุณต้องการสิ่งหนึ่งกลับไปได้อีกสิ่งหนึ่งก็ได้นี้ก็ไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองเมื่อไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองแล้วก็เกิดความเสียใจ เศร้าโศก ร้องไห้ คร่ำครวญ แล้วของสองสิ่งนี้จะต้องมีความเสมอกันไม่มีสิ่งใดที่มากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตคู่นั้นก็จะจบก่อนกาลอันควร





ถ้าความรักมากไปก็จะเกิดเป็นความงมงายไม่มีเหตุผลไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไรดีชั่ว เรียกว่าหลับหูหลับตารัก เหมือนคนตาบอดมองสิ่งใดๆก็ไม่เห็น อย่างที่โบราณได้กล่าวไว้ เห็นจะจริงอยู่ตรงนี้ต้องระมัดระวัง เรานั้นต้องรักอย่างฉลาด ต้องมีสติปัญญาคอยควบคุมอยู่ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองอย่างมากทีเดียว บางคนถึงกระทั้งต้องมาสูญเสียชีวิตกับเรื่องความรักนั้นก็มีให้เห็นกันอยู่ในสังคมไทยเราหรือแม้แต่สังคมทางยุโรป เราต้องรู้ว่าเรานั้นรักเขาเพราะอะไร เขาดีอย่างไร เรียกว่าต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าเรานั้นรักเขาเพราะอะไร ถ้าเราตอบตัวเองไม่ได้ก็แสดงว่าเรานั้นกำลังงมงายอยู่ หลงอยู่ คำว่าหลงนั้นคือ ความที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง นี้ก็จะเห็นได้มากในสังคมทุกวันนี้ ลองถามเขาดูก็ได้ว่าเขารักผู้ชายคนนั้นเพราะอะไรบางทีเขาก็ตอบไม่ได้ก็มี หรือว่ารักผู้หญิงคนนั้นเพราะอะไร นี้จะเห็นได้มาก แล้วยิ่งในสมัยนี้เด็กหรือวัยรุ่นนั้นแยกเยอะกันไม่ออกว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ที่เรากับเขานั้นคบกันอยู่นี้ที่กระทำกันอยู่อย่างนี้ทั้งที่ลับทั้งที่แจ้งนั้นความจริงเป็นความรัก หรือ ความใคร่กันแน่แยกไม่ออก
ความรักที่แท้จริงที่ปราศจากความใคร่นั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์และก็สวยงาม เป็นความบริสุทธิ์ของจิตใจทำให้จิตใจชุ่มชื้น ทำให้จิตใจมีกำลัง ทำให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในงานที่จะมอบให้แก่คนที่เรารัก ก็ลองคิดถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน เมื่อพ่อแม่นั้นได้ให้ความรักมาเท่าใดความชุ่มชื้นของหัวใจมันก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ ความเหน็ดเหนื่อยต่องานนั้นแทบไม่มีเมื่อเจอหน้าลูกเมื่อได้โอบกอดลูก เมื่อได้คุยกับลูก ก็ทำให้หายเหนื่อยไปได้ มีการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดที่ตัวนั้นจะหามาได้ให้แก่ลูกที่ตัวรัก ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวพอจะหามาได้ แล้วการให้นั้นก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด ขอเพียงแค่ได้รับแล้วมีความสุขใจ ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้นก็บริสุทธิ์ไม่ต่างกัน นี้เป็นความรักที่แท้จริงและบริสุทธิ์


แต่ไม่ใช่จะมีแต่ความรักระหว่างพ่อแม่ลูกเท่านั้นที่จะมีความรักที่บริสุทธิ์ได้ ความรักของหนุ่มสาวก็มีกันได้แต่ที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้นั้นไม่ได้เป็นความรักที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงหรือลืมไปว่าควรจะมอบความรักที่บริสุทธิ์ให้แก่กันและกัน แล้วก็จะหาได้ยากมากในสังคมทุกวันนี้ เพราะค่านิยมที่ผิดๆ การเรียนรู้มาอย่างผิดๆ การเรียนรู้นั้นก็มาจากสิ่งที่ได้เห็นมาไม่ดี ไม่ถูกทาง เพราะว่าคนที่เพิ่งจะเจอกับเพศตรงข้ามนั้นก็ต้องมีครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น (ไม่ได้หมายถึงการเสียตัว) แต่หมายความถึง การที่จะรู้จักเพศตรงข้ามแล้วจะคบกับเพศตรงข้ามนั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในเมื่อตัวเองก็บอกตัวเองว่าเรานั้นมีความรู้สึกดีๆ มีความรักก็แล้วแต่จะเรียก แต่ในทางของการปฏิบัตินั้นไม่มีใครเขาสอนกันส่วนใหญ่แล้วสังคมนั้นเป็นผู้ที่สั่งสอน ผิดบ้างถูกบ้างก็แล้วแต่ว่าจะอยู่ในสังคมใด บางคนนั้นก็ถูกสอนมาดีในเรื่องของการที่จะคบเพศตรงกันข้ามก็จะได้ผลที่ดี แต่ที่น่าเป็นห่วงก็พวกที่ได้รับการสั่งสอนมาแบบผิดๆ เช่น บางคนนั้นเคยดูหนังโป้ก็คิดว่าการแสดงออกมาแบบนี้แหละคือความรัก ถ้าไม่ทำแบบนี้ไม่ใช่ความรัก ถ้าไม่เดินจูงมือกันเหมือนคนเดินจูงหมาก็จะไม่เรียกว่า ความรัก ถ้าไม่เดินกอดคอกันในห้าง ถ้าไม่หอมแก้มกันให้คนเห็นไม่เรียกว่าความรัก ทั้งหมดนี้เป็นความคิด เป็นการได้รับการสั่งสอนจากการได้เห็นได้ยินจากหมู่เพื่อนจากสิ่งต่างๆที่เรียกว่าสังคมมาแบบผิดๆทั้งนั้น ผลที่ออกมาก็เห็นถึงความเสื่อมโทรมต่อตัวเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม


อย่าที่ได้กล่าวไปแล้วว่าความรักที่บริสุทธิ์สำหรับหนุ่มสาวนั้นก็มีแต่ต้องคิด ต้องกระทำกันอย่างบริสุทธิ์ มันจึงจะเกิดมาเป็นความรักที่บริสุทธิ์ได้ มันต้องเริ่มกันตั้งแต่เริ่มที่จะจีบหรือคิดที่จะคบกับคนๆนั้นก่อนเลยว่าเรานั้นจะมอบแต่ความรักที่บริสุทธิ์ให้แก่คนๆนั้น จะมอบสิ่งดีๆที่เรานั้นพอจะหาให้ได้ตามแต่กำลังของตน เรานั้นจะไม่มีเรื่องเซ็กเข้ามาเกี่ยวข้องก่อนที่จะถึงเวลาอันสมควรตามประเพณี ถ้าพ่อแม่เขานั้นไม่อนุญาตแล้วเรานั้นจะไม่มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด เราจะไม่ยอมให้คนที่เรารักนั้นเสื่อมเสียทั้งในด้านของชื่อเสียง ทั้งในเรื่องของความด่างพร้อยของพรหมจรรย์ เรานั้นจะปกป้องคุ้มครองดูแลคนที่เรารักนั้นให้ดีที่สุด เราจะไม่สร้างความเดือดร้อนใจ จะไม่ให้เขานั้นเสียน้ำตาเพราะเรา เรานั้นจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี้เป็นส่วนหนึ่งของความรักที่บริสุทธิ์ ที่ทุกคนนั้นปรารถนากันแต่มีน้อยคนนักที่จะได้มัน อยากจะบอกว่า คนที่มีสิทธิในการครอบครองความรักที่บริสุทธิ์นี้ก็ต้องเป็นคนที่มีความบริสุทธิ์ต่อความรักเหมือนกัน ถ้าเรานั้นปรารถนาความรักที่บริสุทธิ์แต่เรานั้นไม่บริสุทธิ์มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นก็ไม่มีสิทธิไม่คู่ควรกับความรักที่บริสุทธิ์นี้


ความรักนั้นก็ได้กล่าวไปแล้วที่นี้มาถึงความใคร่บ้าง หรือที่คนเข้าใจกันว่าเซ็กนั้นเอง สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำลายความรักที่บริสุทธิ์ให้หม่นหมองไป คนที่มุ่งอยู่แต่ความใคร่นั้นจะไม่มีเวลามาสนใจไม่ให้ความสำคัญกับความรักเลย จะทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความใคร่ จะทำอะไรก็หวังเพื่อความใคร่ ไม่ว่าจะผิดถูกก็ต้องเอาให้ได้ เป็นต้น คนประเภทนี้ดูไม่ยากนักเพราะว่าเราต้องมารู้ความจริงกันเสียก่อนว่าการแสดงออกมาทางกาย หรือวาจานั้นมันมาจากความคิดทั้งนั้น ที่ว่าดูไม่ยากนั้นก็ดูการกระทำทางกายกับ วาจาควบคู่กันไป อย่างที่บอกไว้อย่าได้งมงายหลับหูหลับตาคบกันต้องมีสติปัญญาให้รู้ตามความเป็นจริงจะได้รู้ทันความไม่จริง คำพูดอย่างเดียวไม่พอต้องดูการกระทำด้วย พวกนี้ในเมื่อเขาคิดแต่เรื่องความใคร่การแสดงออกทางวาจาก็มักจะเป็นไปในทางของความใคร่ พวกนี้มักจะใช้คำพูดหากินไม่กี่คำหลอกเช่น คนเรารักกันก็ต้องมีอะไรกันไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าความรัก เรื่องเซ็กนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติใครๆเขาก็มีกันคนที่ไม่มีสิแปลก มีการพูดเล้าโลมต่างๆเพื่อที่จะได้มาซึ่งความใคร่ที่ตัวเองต้องการ เป็นต้น การแสดงออกมาทางกายก็จะเป็นไปในความใคร่ พวกนี้เป็นประเภทฉวยโอกาสตัวยงเลย นิดหน่อยก็เอา ได้จับมือก็เอา เรียกว่าเผลอเมื่อไรกูเอานี้เป็นต้น นี้เอาไว้สังเกตแล้วให้มีสติ มีปัญญาคิดเห็นตามความเป็นจริงให้มากๆก็จะได้ผลดี ที่บอกกล่าวนี้ก็เอาไว้สำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรักที่บริสุทธิ์เท่านั้น ผู้ที่ไม่ต้องการความรักที่บริสุทธิ์ก็จงเป็นไปตามการกระทำของตัวเองเถิดจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วอย่าได้พบได้เจอกันเลย นี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าความใคร่นั้นเป็นตัวทำลายความรักที่บริสุทธิ์
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นความรักกับความใคร่นั้นก็ต้องเสมอกัน นี้ก็จะแสดงให้เห็นความจริงบางอย่างของธรรมชาติ จริงอยู่ที่ทุกคนนั้นเข้าใจว่าเรื่องเซ็กนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ถูกต้องแล้วเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่คนนั้นกำลังไม่ปฏิบัติตามธรรมชาติ ไม่ได้มีเซ็กกันตามธรรมชาติ แต่ใช้เกินที่ธรรมชาตินั้นให้กระทำกัน
เซ็กที่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงนั้นมีไว้เพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น นี้คือเซ็กที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ แต่เรานั้นทำกันเกินเลยขอบเขตของธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นโทษไปตามธรรมชาติ เพราะการกระทำที่ผิดจากธรรมชาติ บางครั้งเรานั้นยังไม่เข้าใจธรรมชาติในเรื่องเซ็กได้เท่ากับหมาเลย หมานั้นมันถึงเวลาที่จะผสมพันธุ์มันจึงมีเซ็กกัน แล้วคนละมีเซ็กกันบางคนนั้นไม่อายหมาเลยก็มี ทำกันเหมือนหมานึกจะมีที่ไหนก็มี พอไปเที่ยวพูดจากันไม่กี่คำก็มีเซ็กกันได้แล้วที่หมามันทำนึกจะทำอะไรกันที่ไหนมันก็ทำนั้นเพราะว่ามันไม่ได้มีความละอาย ไม่มีคนสอนมันว่านี้เป็นสิ่งที่น่าละอาย พ่อแม่มันก็พาทำกันมาแบบนี้มันจึงทำกันมาแบบนี้เป็นต้น เรานั้นจะต่างกับหมาหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ที่เราเรียกกันว่าคน หรือมีชื่อดี มีนามสกุลดี แต่อยู่ที่การกระทำว่ามี่ความละอายหรือเปล่า เมื่อเรานั้นทำผิดธรรมชาติ ก็ได้รับผลแบบผิดธรรมชาติ เช่นเกิดโรคต่างๆเกี่ยวกับเรื่องเพศมากมาย เกิดน้องฟลุ๊คขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้ลูกมาแบบฟลุ๊คๆ แล้วก็ต้องทำลายกันไปบ้าง บางคนใจดีก็เลี้ยงดูตามแต่จะมีความสามารถจะเลี้ยงได้เป็นภาระแก่ตัวเองเป็นผลเสียแก่ตัวเองต้องสูญเสียอนาคตที่อาจจะดี ต้องเสียชื่อเสียงเป็นคนไม่กล้าสู้หน้าต่อสังคมหรือเรียกว่าไปที่ไหนอายที่นั่น (แต่จริงๆแล้วถ้าขี้อายจริงก็ไม่น่าทำนะ) ต้องเป็นภาระต่อครอบครัว ต้องเป็นภาระต่อสังคม นี้ก็เป็นตัวอย่างเล็กน้อยที่เป็นการกระทำเกินธรรมชาติ
อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้นเราจะต้องรวมสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกันให้ถูกต้องให้เสมอกัน โดยที่สร้างความรักที่บริสุทธิ์ขึ้นมาก่อนโดยปราศจากเรื่องของความใคร่ เมื่อความรักที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว ได้กาลอันสมควรแล้วจึงจะใช้เรื่องของเซ็กแล้วก็ใช้ไปตามที่ธรรมชาตินั้นกำหนด ให้เป็นไปเพียงแค่หน้าที่ของการสืบพันธุ์ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วความรักที่บริสุทธิ์ก็เข้ากับเรื่องใคร่ได้ลงตัวด้วยปัญญา แล้วก็เป็นผลให้ชีวิตคู่นั้นเป็นไปด้วยดี
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความรักที่บริสุทธิ์

การรีไซเคิล

รีไซเคิล (ไม่ใช่)สิ่งใหม่ที่ไกลตัวโดย...นายพงษ์เพชร  อินทร์เพชร
ต.หมากแข้ง  อ.เมือง  จ.อุดรธานี
(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)

           รีไซเคิล (Recycle) เป็นการจัดการวัสดุเหลือใช้ ที่กำลังจะเป็นขยะ โดยนำไปผ่านกระบวนการแปรสภาพ โดยเฉพาะการ
หลอม เพื่อให้เป็นวัสดุใหม่แล้วนำกลับมาใช้ได้อีก ซึ่งวัสดุที่ผ่านการแปรสภาพนั้นอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์เดิมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ได้
รีไซเคิลมีความหมายต่างจาก รียูส (Reuse) ซึ่งหมายถึง การนำกลับมาใช้ใหม่โดยไม่ผ่านกระบวนการแปรสภาพใดๆทั้งสิ้นใน
ความเข้าใจของคนบางกลุ่มนั้น การรีไซเคิลยังหมายถึง การนำวัสดุเหลือใช้กลับมาปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือพัฒนารูปร่างใหม่ ให้




สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น ขวดน้ำพลาสติก หากนำมาใช้ใส่น้ำอีกครั้งเป็น การรียูส (Reuse) แต่ถ้านำเอาขวด
นำพลาสติกมาตัดให้เป็นกระป๋อง แล้วนำไปใช้ตักดินบรรจุในถุง หรือนำขวดพลาสติกมาตัดครึ่ง เป็นแจกันใส่ดอกไม้ หรือเป็นที่ใส่
ปากกา มักถูกเรียกว่าเป็นการรีไซเคิลขวดน้ำพลาสติก ของใช้แล้วจากภาคอุตสาหกรรม ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ได้แก่
กระดาษ แก้ว กระจก อะลูมิเนียม และพลาสติก "การรีไซเคิล" เป็นหนึ่งในวิธีการลดขยะ ลดมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม ลดการใช้
พลังงานและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกไม่ให้ถูกนำมาใช้สิ้นเปลืองมากเกินไป
          การแปรรูปของใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่มีกระบวนการอยู่ 4 ขั้นตอน ได้แก่
                   
                   1. การเก็บรวบรวม
                   2. การแยกประเภทวัสดุแต่ละชนิดออกจากกัน
                   3. การผลิตหรือปรับปรุง
                   4. การนำมาใช้ประโยชน์ในขั้นตอนการผลิตหรือปรับปรุงนั้น วัสดุที่แตกต่างชนิดกัน จะมีกรรมวิธีในการผลิต แตก
ต่างกัน เช่น ขวด แก้วที่ต่างสี พลาสติกที่ต่างชนิด หรือกระดาษที่เนื้อกระดาษ และสีที่แตกต่างกัน ต้องแยกประเภทออกจากกัน

เมื่อผ่านขั้นตอนการผลิตแล้วของเสียที่ใช้แล้วเหล่านี้จะกลายมาอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ใหม่ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนในการ
นำมาใช้ประโยชน์ ผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจึงสามารถสังเกตได้จากเครื่องหมายทีประทับไว้ บนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตทุกครั้ง

การรีไซเคิลกระดาษ
ปัญหาใหญ่ของขยะประเภทหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ในรูปกระดาษที่ผลิต ออกมาเป็นจำนวนมากและในจำนวน
 ที่ผลิตออกมาอย่างมหาศาลนี้มีเพียง ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ที่ได้มีการนำกระดาษที่ใช้แล้วไป ทำผลิตภัณฑ์ใหม่อีกครั้ง จำนวนที่
เหลือจึงกลายเป็นขยะอยู่ในแหล่งทิ้งขยะในปีหนึ่ง ๆ ปรากฏว่าด้วยจำนวนนับล้าน ๆ ของใบปลิวโฆษณาทางไปรษณีย์ คูปอง
ใบขอบริจาค แคตตาล็อกต่าง ๆ และหน้าโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ จะมีเพียงประมาณนับพันแผ่นเท่านั้นที่ได้ผ่านการอ่านและ
ที่เหลือนอกจากนั้นได้กลายเป็นขยะในถังขยะโดยไม่ผ่านการอ่านเลย จึงเป็นการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองที่สุดกระดาษทุกชนิดที่
เราใช้ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ผลิตจากเนื้อเยื่อของต้นไม้และมีกระดาษหลายชนิดที่เมื่อใช้แล้วสามารถนำมาผลิตใช้ได้อีก
 เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษบันทึกกระดาษสำเนา กระดาษพิมพ์ดีด กระดาษคอมพิวเตอร์ บัตรรายการ และ
ซองจดหมายสีขาว สำหรับกระดาษที่ไม่สามารถนำกลับมาผลิตใหม่ เช่น กระดาษที่ติดกาวหรืออาบมัน เนื่องจากความร้อน
จะทำให้สารเคลือบกระดาษละลายแล้วไปอุดตันเครื่องจักรทำให้

 


เกิดความเสียหายได้ การรีไซเคิล กระดาษเริ่มต้นด้วยกระบวนการใช้น้ำและสารเคมีกำจัดหมึกที่ปนเปื้อนออกไป ทำให้กระดาษ
เหล่านั้นกลายเป็นเนื้อเยื่อ จากนั้นจึงทำความสะอาดเนื้อเยื่อ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการผลิตเส้นใยที่สามารถนำไปผลิตเป็นกระดาษ
ต่อไป กระดาษที่ใช้แล้วเมื่อนำมาผลิตขึ้นใช้ใหม่มีกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยเฉพาะจะต้องกำจัดสีที่ปนเปื้อนออกให้หมด
เพราะการเจือปนแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระดาษที่ผลิตใหม่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ไฟเบอร์ในเนื้อเยื่อกระดาษจะลดน้อยลงทุกขั้น
ตอนของกระบวนการรีไซเคิล กระดาษที่ผลิตขึ้นใหม่จึงมีคุณภาพด้อยลง มีเพียงร้อยละ 3 เปอร์เซ็นต์ของกระดาษหนังสือพิมพ์เท่า
นั้นที่สามารถนำไปผลิตเป็นสิ่งพิมพ์ได้ใหม่ กระดาษรีไซเคิลส่วนใหญ่จึงเหมาะสำหรับทำเป็นกล่องบรรจุสินค้า ทำเป็นฝ้าเพดาน

การรีไซเคิล อะลูมิเนียม
 อะลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีสีขาวคล้ายเงิน น้ำหนักเบาและมีคุณสมบัติที่อ่อนตัวซึ่งสามารถ ทำเป็นรูปร่างต่างๆ
ได้ ในการผลิตอะลูมิเนียมจึงมักผสมทองแดงและสังกะสีเพื่อเพิ่มความแกร่งให้กับเนื้ออะลูมิเนียม เนื่องจากอะลูมิเนียมเป็นภาชนะ
ที่สามารถ ซึมซับความเย็นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อะลูมิเนียมเป็นที่นิยมในการนำมาผลิตกระป๋องบรรจุเครื่องดื่ม และวัสดุอีกหลายชนิด
 เช่น น้ำอัดลม เบียร์ โซดา กระดาษ ตะกั่ว ถาดใส่อาหาร ภาชนะในครัว ฯลฯ ปัจจุบัน อะลูมิเนียมถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดและมี
ข้อดีคือ สามารถนำไป รีไซเคิลได้กระป๋องอะลูมิเนียมทุกใบสามารถส่งคืนกลับโรงงานเพื่อนำไปผลิตเป็นกระป๋องใหม่ได้โดยไม่มี
ขีดจำกัดจำนวนครั้งของการผลิต เมื่อกระป๋องอะลูมิเนียมถูกส่งเข้าโรงงานแล้วจะถูกบดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วหลอมให้เป็นแท่งแข็




จากนั้นอะลูมิเนียมแท่งจะถูกนำไปรีดให้เป็นแผ่นแบนบางเพื่อส่งต่อไปยังโรงงานผลิตกระป๋อง เพื่อผลิตเป็นกระป๋องอะลูมิเนียมใหม่
การรีไซเคิลกระป๋องอะลูมิเนียม จะทำให้ประหยัดพลังงานความร้อนได้ถึง 20 เท่าและช่วยลดมลพิษทางอากาศได้ถึงร้อยละ 95
ของการผลิตกระป๋องใหม่โดยใช้อะลูมิเนียมจากธรรมชาติ สำหรับกระป๋องที่ผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีส่วนผสมของดีบุกอยู่เล็กน้อย
เพื่อป้องกันการเกิดสนิมนั้นใช้สำหรับบรรจุอาหารกระป๋องสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋อง ผักกระป๋อง น้ำผลไม้ ฯลฯ เมื่อใช้แล้วก็สามารถ
นำมารีไซเคิลกระป๋องนั้นได้ โดยเริ่มต้นจากการกำจัดดีบุกที่เคลือบกระป๋องออกก่อนและเหลือไว้เฉพาะส่วนที่เป็นกล้าแล้วจึงนำไป
หลอมเพื่อผลิตเป็นกระป๋องขึ้นใหม่ การรีไซเคิลกระป๋องดีบุกจะช่วยลดพลังงานในการผลิตกระป๋องใหม่ได้โดยใช้โลหะจาก
ธรรมชาติได้

การรีไซเคิล แบตเตอรี่และถ่านไฟฉาย
แบตเตอรี่และถ่านไฟฉายเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ขยะประเภทนี้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เพราะ
มีโลหะหนักที่เป็นอันตรายเป็นองค์ประกอบ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว ลิเทียม แมงกานีสไดออกไซด์ ปรอท นิกเกิลเงินและสังกะสี
ถ้าทิ้งลงที่ฝังขยะ โลหะหนักเหล่านี้ก็อาจ



รั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินแต่ถ้านำไปเผาก็จะปล่อยก๊าซออกมาอีกทั้งขี้เถ้าจากการเผาขยะก็ยังคงมีพิษต่อสิ่งมีชีวิตอยู่ ในต่างประเทศ
ได้มีการแยกขยะประเภทนี้ไว้เพื่อการรีไซเคิลโดยเฉพาะเพื่อกำจัดโลหะหนักที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนการกำจัดกากของเสียและ
กำจัดกากก็มีอยู่บ้าง

การรีไซเคิล น้ำมัน
         น้ำมันเก่ามีอยู่ 2 ประเภท คือ น้ำมันพืชซึ่งเป็นน้ำมันเก่าจากการปรุงอาหาร และน้ำมัน
เครื่องยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว ในส่วนแรกนั้น ปัจจุบันมีการรีไซเคิลนำมาใช้ผลิตเป็นผงซักฟอกได้ ซึ่ง "โครงการโรงงานผงซักฟอกและสบู่




เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม" ซึ่งดำเนินการโดยองค์กรพัฒนาเอกชนร่วมกับกลุ่มชุมชนแออัดที่คลองเตย ได้ผลิตผงซักฟอกจากน้ำมันที่
เหลือจากการปรุงอาหารออกมาจำหน่ายได้เป็นสำเร็จแล้ว ส่วนน้ำมันเครื่องของรถยนต์นั้น ในต่างประเทศก็มีการรีไซเคิลนำมาทำ
เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้หลายอย่าง เช่น เป็นเชื้อเพลิง หรือน้ำมันหล่อลื่น

การรีไซเคิล แก้ว
          แก้วเป็นวัสดุที่มีผิวราบเรียบแข็งและใส แต่เปราะบางและแตกร้าวได้ง่าย มนุษย์ผลิตแก้ว ขึ้น จากการหลอมละลายของวัสดุ
ธรรมชาติ คือ ทราย เถ้าโซดา หินปูน และแร่เฟลด์สปาร์โดยสามารถหลอมให้เป็นรูปร่าง และสีสันแปลก ๆ แตกต่างกันได้และไม่รั่ว
ง่ายจึงนิยมนำ แก้วมาทำเป็นภาชนะใส่ของต่าง ๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง ฯลฯ เพราะแก้วไม่ทำปฏิกิริยากับสาร
ใด ๆ ที่จะให้สารที่ใส่ภาชนะแก้วนั้น ๆ ต้องเปลี่ยนคุณสมบัติ แก้วจึงเป็นภาชนะที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด ในแต่ละปีจะมีขวดแก้ว




ที่ผ่าน การใช้แล้วไม่ต่ำกว่า 28 พันล้าน ใบที่ถูกทิ้งให้เป็นขยะออกสู่สิ่งแวดล้อมแก้วบางชนิดใช้แล้วสามารถนำมาล้างทำความ
สะอาดฆ่าเชื้อโรคแล้วหมุนเวียนนำมาบรรจุใหม่ได้ซ้ำอีกได้อย่างน้อยถึง 30 ครั้ง โดยผู้ผลิตสินค้าประเภทเดิม เช่น ขวดเครื่องดื่ม
แก้วบางชนิด ผลิตขึ้นเป็นเนื้อแก้วบางเบาเพื่อความสะดวกในการพกพา แต่ไม่สามารถนำมาล้างเพื่อใช้ใหม่ได้ แต่สามารถรวบรวม
ส่งคืนโรงงานเพื่อส่งเข้าสู่ระบบการผลิตขึ้นใหม่ที่เรียกว่า กระบวนการรีไซเคิล แก้วที่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลจะถูกทุบและบดให้
แตกละเอียดก่อนจะนำไปหลอมในเตาหลอม รวมกับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อเป็นส่วนในการผลิตแก้วใหม่ การรีไซเคิลแก้ว
สามารถช่วยลดพลังงานความร้อนที่ใช้ในการผลิตได้มากกว่าการผลิตแก้วจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ

การรีไซเคิล พลาสติก
 พลาสติก ผลิตขึ้นจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และอาจผลิตเพื่อให้มีสีต่าง ๆ ใส แข็งหรืออ่อนก็ได้
 และยังสามารถหลอมละลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้โดยใช้แรงดันและความร้อนและคุณสมบัติของพลาสติกคือ ไม่สลายตัว
ประโยชน์ของพลาสติก คือ น้ำหนักเบาทำให้สะดวกต่อการถือหิ้ว และการขนส่ง ตลอดจนมีความทนทานอยู่ได้เป็นเวลานาน
และเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์ได้มากพลาสติกจึงเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ตามถึงแม้พลาสติกจะมีประโยชน์
แต่ก็มีข้อเสียคือพลาสติกผลิตมาจากทรัพยากรธรรมชาติที่



ไม่สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน นอกจากนี้ ก็ยากต่อการนำมารีไซเคิล และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และที่สำคัญเนื่อง
จากพลาสติกมีหลายชนิด การนำมาผลิตใช้ใหม่จะต้องแยกพลาสติกแต่ละชนิดออกจากกัน ปัจจุบันจึงมีเพียงถุงพลาสติกเท่านั้นที่
สามารถนำมาผลิตใช้ใหม่ได้ แต่มีการนำถุงพลาสติกที่ใช้แล้วเพียงร้อยละ 3 ของจำนวนถุงพลาสติกที่ผลิตออกมาเท่านั้นที่นำกลับ
เข้าสู่โรงงานเพื่อการรีไซเคิล ดังนั้น พลาสติกที่ถูกทิ้งขยะในปัจจุบันจึงคงอยู่ในสภาพแวดล้อมไปอีกนานนับหลายปี

การรีไซเคิล เศษอาหารและอินทรียวัตถุ
          ขยะประเภทนี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ หรือนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักได้ โดยผ่านการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ซึ่งปุ๋ยหมัก
นี้ จะเป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสำหรับการปลูกพืชทุกชนิด การหมักปุ๋ยนี้สามารถทำลายเชื้อโรคได้หลายชนิดที่อุณหภูมิ 50-70
องศาเซลเซียส ขั้นตอนในการหมักทำปุ๋ยจะต้องมีการคัดแยกมูลฝอย ที่ย่อยสลายไม่ได้ออกก่อนจากนั้นทำการบดให้ขนาดชิ้นของมูล
ฝอยเล็กลง แล้วจึงลำเลียงสู่ขบวนการหมัก ระยะเวลาที่ใช้หมักประมาณ 3 เดือนหรือ 1 ปี ขึ้น



อยู่กับรูปแบบวิธีการหมักที่ใช้ มูลฝอยที่หมักได้จะมีปริมาณลดลงประมาณร้อยละ 50 ปัจจุบันมีโรงงานทำปุ๋ยหมักของกรุงเทพ
มหานคร ซึ่งได้ดำเนินการผลิตปุ๋ยหมักออกใช้ประโยชน์ด้วย สำหรับประเทศไทยนั้น จากการศึกษาของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พบว่า ศักยภาพของวัสดุเหลือใช้ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้จากมูลฝอยที่เก็บขน
ได้ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศมีประมาณร้อยละ 16-34 ของปริมาณมูลฝอยที่เก็บได้ แต่มีเพียงร้อยละ 7 หรือ
ประมาณ 2,360 ตันต่อวันเท่านั้น ที่มีการนำกลับมาใช้ประโยชน์

ประโยชน์ที่ได้จากการรีไซเคิล
          - ช่วยลดภาระในการกำจัดกากของเสียจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม
          - ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมีใหม่ เพราะสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ รีไซเคิล
ทดแทนได้
          - ช่วยรัฐประหยัดเงินตรา เพราะเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
          - ช่วยให้การจัดเก็บของเสียมีระเบียบ จนสามารถสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
          - ช่วยลดปัญหาในการจัดหาพื้นที่สำหรับการฝังกลบ และลดปริมาณมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้กากของเสีย
          - ช่วยให้โรงงานที่ต้องการสร้างระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14000 เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
          - ช่วยให้เกิดความตระหนักในการใช้ทรัพยากรของโลกด้วยความประหยัด และคุ้มค่า
          - ช่วยทำให้โลกมีจำนวนขยะลดน้อยลง
          - ช่วยลดปริมาณการนำทรัพยากรธรรมชาติ มาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานอุตสาหกรรมให้น้อยลง
          - ช่วยลดการถลุงแร่บริสุทธิ์ และลดปริมาณการโค่นทำลายป่าไม้ลงด้วย
          - ช่วยลดการใช้พลังงานจากใต้พิภพ
          - ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขึ้นสู่อากาศและลดภาวะการเกิดฝนกรด การนำกลับมาใช้ใหม่ จึงเป็นวิธี
การหนึ่งที่ช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับชีวิต เพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งแวดล้อมและช่วยถนอมรักษาทรัพยากรธรรมชาติของโลกไว้ได้ดีที่สุด
ในหนทางหนึ่ง


วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

รักอย่างไร...ไม่ไร้สติ


หากพูดถึงวันที่วัยรุ่นหนุ่มสาวทั่วโลกมักจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้น ๑๔ กุมภาพันธ์วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักอย่างแน่นอน วันนี้จะเป็นวันที่วัยรุ่นมักแสดงความรักให้แก่คนที่แอบรักแอบชอบหรือรักกันอยู่แล้ว ผ่านการสารภาพรักโดยการมอบขวัญ หรือเขียนแสดงความรู้สึกผ่านการ์ดลายน่ารักๆและอาจจะทำเก๋กว่านั้นด้วยการพาคนรักไปท่องเที่ยวตามสถานที่โรแมนติกต่างๆ แต่จะมีใครรู้บ้างว่าความหมายที่แท้จริงของวันวาเลนไทน์นั้นคืออะไร


            จริงๆ แล้ววันวาเลนไทน์มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อน วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ จะเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันจะรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่งอิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาอีกวันคือ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยง ที่เรียกว่า Lupercalia การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวในสมัยนั้น จะถูกแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่ทั้งนี้ก็ยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่หนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา ก็คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้น ชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็กๆ และจะถูกนำไปใส่ไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง ซึ่งบางครั้งการจับคู่นี้ส่วนใหญ่ก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้รักกันและแต่งงานร่วมชีวิตกัน


           แต่ทว่าภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองนั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และจักรพรรดิคลอดิอุสเองก็ประสบปัญหากับการที่จะหาทหารจำนวนมากมาเข้าร่วมทำศึกสงคราม และตัวเขาเองเชื่อว่าเหตุผลที่สำคัญ คือ  ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวของตนเอง และคนรักไป จากเหตุผลนี้ ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสมีคำสั่งประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงาน และงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม อย่างไรก็ตาม ยังมีนักบุญใจดีท่านหนึ่งมีนามว่า “ท่านนักบุญวาเลนไทน์”  ท่านเป็นพระนักบุญในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง นักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ ขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ประสบกับปัญหาดังกล่าว และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆ ซึ่งจากการกระทำนี้ ทำให้ท่านต้องถูกจับและถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะ ดังนั้นในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์  จึงถือเป็นวันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ให้มีความสุข แต่ก่อนที่ท่านจะถูกประหารชีวิต เด็กหนุ่มสาวจำนวนมากต่างพากันมาที่คุกเพื่อจะเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ และพวกเขาได้โยนดอกไม้และกระดาษที่เขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก เพื่อต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาต่างมีความเชื่อและศรัทธาในความรักเช่นกัน และหนึ่งในนั้นได้มีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม และพ่อของเธอได้อนุญาตให้เธอได้เข้าไปเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ได้ในคุก เด็กสาวคนนี้จะให้กำลังใจและเห็นด้วยกับนักบุญวาเลนไทน์ที่ปฏิเสธกฎหมายห้ามแต่งงานกัน และในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต ท่านได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและความจงรักภักดีของเด็กสาวคนนั้น โดยท่านได้ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า “Love  from  your  Valentine”  นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงกลายเป็นประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักในวันวาเลนไทน์  ซึ่งนิยมเขียนและส่งกันในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ เพื่อแสดงออกถึงความรักที่มีให้กัน ทำให้วันวาเลนไทน์กลายเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างมากของวัยรุ่นทั่วโลก รวมถึงวัยรุ่นไทยด้วย
          

          ปัจจุบันความหมายของวันวาเลนไทน์ได้เปลี่ยนไป กลายเป็นเพียงแค่เทศกาลของวัยรุ่นที่ตามกระแสนิยมเท่านั้น และวัยรุ่นมักจะแสดงความรักออกมาในทางที่ผิดหรือไม่เหมาะสม เช่น เมื่อถึงวันวาเลนไทน์จะต้องแสดงความรักโดยการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มากกว่าที่จะคำนึงถึงความหมายที่แท้จริงของวันวาเลนไทน์ นั่นคือ “การมอบความรัก ความเสียสละและมิตรภาพให้แก่กันและกันอาจเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้ผู้ปกครองของเด็กไม่มีเวลาให้ความรู้แก่เด็กถึงการแสดงความรักอย่างถูกต้อง ทำให้วันวาเลนไทน์กลายเป็นปัญหาสังคมทุกปี



           จากปัญหาดังกล่าว กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงอยากให้ข้อคิดดีๆ จากแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เพื่อเตือนสติเด็กวัยรุ่นที่คิดจะมีความรัก ให้รักอย่างมีสติ ว่า
           “ความรัก” ต้องวางอยู่บนรากฐานแห่งความมีสติ เพราะจะทำให้ผู้รักมีความสุข เป็นอิสระ ไม่มีจิตใจที่คับแคบ ที่จะผูกมัดรัด “เขา” เอาไว้เป็นของ “เรา”
           คงต้องหันกลับมามองความรักกันใหม่ โดยเริ่มจาก “ใจ” ของเราก่อน ลองหันกลับมามองตัวเองอย่างจริงใจและมีเมตตา ว่าเรา “รัก” ตัวเราเองเป็นหรือเปล่า...
           ลองมองดูซิว่าเราดูแลกาย จิตและวิญญาณ ของเราดีอยู่หรือไม่ เราเบียดเบียนตัวเราเองจนเกิดทุกข์บ้างไหม เราต้องเริ่ม “รัก” ตัวเองให้เป็นเสียก่อน ถ้าเรา “รัก” ตัวเรา เราจะมีเมตตาต่อตัวเอง
           เราจะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใจของเราให้ขุ่นมัว...แล้วเราจะรักตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่ระมัดระวังใจเราอย่างดี..ใจอย่างนี้จะเข้มแข็งและมีพลังแห่งความรักกว้างขวางยิ่งใหญ่...
           ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า “เราจะรักอย่างมีสติ”....พร้อมด้วยปัญญา จะต้องไม่ติดอยู่ในความหลงใหลไร้สติ...ที่มุ่งคิดแต่จะให้เขากลับมาตอบสนองเรา เราจึงจะมีความสุข...เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เรานั่นเองแหละที่จะเจ็บปวดและเกิดทุกข์...
           จงเป็นสุขที่ได้รักเถิด รักอย่างไม่มีเงื่อนไข...รักอย่างไม่คิดยึดครองไว้เป็นของตน..และรักอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ถ้าทำได้จะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่คับแคบหากแต่งดงามอย่างกว้างขวางไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ..“รักใด ยิ่งรัก ยิ่งทุกข์ ตายอยู่บนกองทุกข์ อย่าบุกต่อ รักใด ยิ่งรัก ยิ่งหมดทุกข์ เยือกเย็น  อยู่เหนือทุกข์ ขอให้รุก ให้ดี...”



ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติ".... พร้อมด้วยปัญญา"ความรัก" ต้องวางอยู่บนรากฐานแห่งความมีสติ
รักอย่างมีปัญญา เพราะจะทำให้ผู้รักมีความสุข เป็นอิสระ
ไม่มีจิตใจที่คับแคบ ที่จะผูกมัดรัด "เขา" เอาไว้เป็นของ "เรา"

คงต้องหันกลับมามองความรักกันใหม่...
เริ่มจาก "ใจ" ของเราก่อน ลองหันกลับมามองตัวเองอย่างจริงใจ
และมีเมตตา ว่าเรา "รัก" ตัวเราเองเป็นหรือเปล่า...

ลองมองดูซิว่าเราดูแลกาย จิตและวิญญาณ ของเราดีอยู่หรือไม่...
เราเบียดเบียนตัวเราเองจนเกิดทุกข์บ้างไหม...

เราต้องเริ่ม "รัก" ตัวเองให้เป็นเสียก่อน...
ถ้าเรา "รัก" ตัวเรา เราจะมีเมตาต่อตัวเอง...

เราจะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใจของเราให้ขุ่นมัว...
แล้วเราจะรักตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่ระมัดระวังใจเราอย่างดี..
ใจอย่างนี้จะเข้มแข็งและมีพลังแห่งความรักกว้างขวางยิ่งใหญ่...

ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติ"....
พร้อมด้วยปัญญา จะต้องไม่ติดอยู่ในความหลงไหลไร้สติ...
ที่มุ่งคิดแต่จะให้เขากลับมาตอบสนองเรา เราจึงจะมีความสุข...
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เรานั่นเองแหละที่จะเจ็บปวดและเกิดทุกข์...

จงเป็นสุขที่ได้รักเถิด รักอย่างไม่มีเงื่อนไข...
รักอย่างไม่คิดยึดครองไว้เป็นของตน..
และรักอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน...

ถ้าทำได้...จะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่...
ไม่คับแคบหากแต่ งดงามอย่างกว้างขวาง ....
ไม่มีที่สุด...ไม่มีประมาณ.....

"รักใด ยิ่งรัก ยิ่งทุกข์ ตายอยู่บนกองทุกข์ อย่าบุกต่อ
รักใด ยิ่งรัก ยิ่งหมดทุกข์ เยือกเย็น อยู่เหนือทุกข์ ขอให้รุก ให้ดี..."


บทความจากหนังสือ เพื่อนทุกข์ ๒ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

ทำไงดี ตื่นเช้ามาใต้ตาดำปี๋

แก้ปัญหา ถุงใต้ตาดำและหย่อนยาน




ทำยังไงดี เมื่อคืนเผลอนอนดึกไปนิดเดียว เช้ามาใต้ตาดำปิ๊ดปี๋ แถมยังห้อยลงมายังกะมีถุงอะไร มาแขวนไว้ใต้ตายังไงยังงั้น จะให้ออกไปทำงานทั้งยังงี้มีหวังโดนเม้าท์ ว่าร้องให้จนตาบวม เพราะทะเลาะกับหวานใจเป็นแน่ เห็นทีต้องเปิดตำราแก้ปัญหากันซะแล้ว
สาเหตุและที่มา
ที่มาของปัญหาตาคล้ำ ตาดำเป็นแรคคูน หลักๆเลยคือการนอนดีก หรืออดนอนเป็นเวลานานๆ แต่ถ้าคุณนอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้วยังเกิดปัญหานี้อยู่ ก็สามารถสันนิษฐานได้หลายสาเหตุ เช่น


สาเหตุจากกรรมพันธุ์
การสูบบุหรี่
ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนมากเกินไป
ขาดสารอาหาร
ผิวถูกทำลายเพราะแสงแดด
sการคั่งของเส้นเลือดดำใต้ดวงตา ซึ่งเกี่ยวพันกับการเป็นโรคบางชนิด เช่น ภูมิแพ้, หืด, ไข้ละอองฟาง

ปัญหาถุงใต้ตา แก้ไม่ยาก
วิธีแก้ปัญหาถุงใต้ตาดำ มีหลายวิธีให้เลือก ใครสะดวก/ชอบวิธีไหน จำสูตรไปใช้ได้เลยครับ
1นอนให้เพียงพอ การนอนเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในกรณีที่อาการดำ หรือช้ำบวมของตาเกิดขึ้นหลังจากการนอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอ


2แตงกวา-ถุงชา แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในกรณีที่ไม่มีเวลานอนเสียแล้ว ของใกล้ๆตัวอย่างแตงกวาและถุงชาช่วยคุณได้ โดยหั่นแตงกวาเป็นชิ้นบางๆ หรือนำถุงชา (ที่ใช้ชงชาแล้ว) แช่ตู้เย็นไว้สักพัก แล้วนำมาวางใต้ตาที่ดำคล้ำ



3ตาบวม ห้ามกินเค็ม ถ้ามีอาการตาบวมแถมมาด้วย แสดงว่ามีของเหลวคั่งค้างบริเวณเนื้อเยื่อใต้ตา ให้หาหมอนมานอนหนุนใหอเยื่อใต้ตา ให้หาหมอนมานอนหนุนใหเค็ม ช่วยให้อาการดีขึ้นได้

4กระหน่ำอายครีม เลือกใช้อายครีมที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิเด้นท์ เช่น วิตามิน c วันละสองครั้ง เช้าและก่อนนอน

5อำพรางด้วยเมคอัพ
วิธีแรก วิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 4 นาที โดยเริ่มจากผสมคอนซีลเลอร์ที่ใช้อยู่เข้ากับครีมรองพื้น แล้วป้ายลงบนรอยดำ ทาไปจนถึงหัวตา เกลี่ยให้เสมอกัน ทาทับด้วยแป้งฝุ่นสีเดียวกับผิว แล้วใช้แป้งสีบรอนซ์ทาทับอีกครั้ง จะทำให้หน้าไบร้ท์ขึ้น และช่วยดึงดูดความสนใจไปจากรอยคล้ำใต้ตา

วิธีที่สอง ใช้คอนซีลเลอร์สี golden-based หรืออ่อนกว่าผิว 1 เฉด (การเลือกคอนซีลเลอร์สีอ่อนกว่าผิวมากๆ แทนที่จะช่วยปกปิด กลับทำให้ยิ่งเห็นข้อบกพร่องชัดขึ้น) ทาคอนซีลเลอร์ด้วยปลายนิ้ว (ความอุ่นจากปลายนิ้วจะช่วยวอร์มเนื้อครีมให้ทาง่ายขึ้น ) เกลี่ยให้กลมกลืนกับผิวรอบๆรอยคล้ำ ทาแป้งฝุ่นทับลงไป ตามด้วยดินสอเขียนตาสีอ่อน (ขาวหรือครีม) ที่มีประกายวิบวับ แต้มลงตรงหัวตา และเลี่ยงการเขียนขอบตาและมาสคาร่าที่ขนตาล่าง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจุดอื่น



6หลบเลี่ยงแสงแดด แสงแดดเข้ามาเกี่ยวยังไงกับเรื่องนี้น่ะหรือ ก็ผิวใต้ตาเราน่ะอ่อนบางกว่าที่อื่นๆอยู่แล้ว ยิ่งถูกแสงแดดกระหน่ำซ้ำเติม ผิวส่วนนั้นก็จะบางลงๆ จนมองเห็นเส้นเลือดดำใต้ผิว มองไปก็คล้ายกับใต้ตาดำถาวร แถมพอมีริ้วรอยเข้ามาช่วยเสริมตามอายุที่เพิ่มขึ้น รับรองว่ากู่ไม่กลับทีเดียว

7รักษาตัว สุดท้าย ถ้าลองทุกกรรมวิธีแล้ว ใต้ตายังไม่ยอมหายดำ ให้สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะโรคภัยที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือการขาดสารอาหาร ถ้าเป็นไปได้ ไปหาคุณหมอให้รักษา หรือลองตรวจหาดูว่าร่างกายเราขาดสารอะไรอยู่หรือเปล่า และจะให้ดียิ่งขึ้น ก็เลิกสูบบุหรี่และเลิกดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเสียด้วยเลย ดีต่อทั้งสุขภาพ และความงาม ถือว่าได้กำไรสองต่อ

อาหารไทย 4 ภาค

ภาคกลาง
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ข้าวปลาอาหารจึงอุดมสมบูรณ์เกือบตลอดทั้งปี รวมทั้งมีพืชผัก ผลไม้นานาชนิด
ด้วยเหตุนี้อาหารภาคกลางจึงเป็นอาหารที่มีความหลากหลาย ทำให้รสชาติของอาหารภาคกลางไม่เน้นไปทางรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ คือมีทั้งรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวานคลุกเคล้าไปตามชนิดต่างๆของอาหาร นอกจากนี้มักมีการใช้เครื่องปรุงแต่งกลิ่นรส เช่น เครื่องเทศ และมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร
อาหารภาคกลางเป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียงของแนมร่วมรับประทานด้วย เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน น้ำปลาหวานทานกับสะเดา เป็นต้น
จุดเด่นคือ อาหารภาคกลางมักจะมีการประดิษฐ์ สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง ผัก และผลไม้มีการแกะสลักอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม




ภาคใต้
พื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ประชากรส่วนใหญ่จึงนิยมทำประมง
ด้วยเหตุนี้อาหารหลักของภาคใต้จึงเป็นอาหารทะเลสด และนิยมใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหาร รสชาติจะเผ็ดร้อน เค็มและเปรี้ยว เช่น แกงไตปลา แกงส้ม และแกงเหลือง เป็นต้น
อาหารภาคใต้นิยมทานควบคู่กับผักเพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง ซึ่งเรียกว่า ผักเหนาะ เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอเป็นต้น



ภาคเหนือ
เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ การรับประทานอาหารของทางภาคเหนือจะใช้โก๊ะข้าว หรือที่เรียกว่า ขันโตก แทน โต๊ะอาหาร โดยจะนั่งล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยอาหารของทางภาคเหนือจะเป็นอาหารที่สุกมากๆ และเป็นอาหารประเภทที่ผัดกับน้ำมันเป็นส่วนใหญ่




ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เป็นดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้อาหารพื้นเมืองจึงเป็นอาหารพวกแมลงหลายชนิด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรในภาคนี้
อาหารอีสานส่วนใหญ่จะมีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ส่วนพืชผัก และเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ประกอบอาหารได้มาจากภายในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
อาหารอีสานมักใช้ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารเกือบทุกชนิด แต่ไม่นิยมใส่ในอาหารประเภทผัด และมักรับประทานคู่กับผักสด

5วิธี อัพความ น่ารัก ในตัวเอง

5วิธี อัพความ น่ารัก ในตัวเอง

ความน่ารักเกิดขึ้นได้หลายทางค่ะ ทั้งจากการแต่งหน้า แต่งกาย ทรงผม และเครื่องประดับ น่ารักในยามพูดจา น่ารักที่กิริยามารยาท หรืออากัปกิริยาช่างน่ารัก นี่ยังไม่รวมนิสัยใจคอและมารยาทที่ดีนะคะ




ใครอยากเพิ่มความ น่ารัก ให้แก่ตัวเอง โปรดลงมือทำสิ่งต่อไปนี้

1.อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

คนน่ารัก ไม่ได้แปลว่าเขาต้องสวยเริดหรือหล่อขั้นเทพ (อย่างที่คนสมัยนี้ชอบพูดกัน) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวอย่างไรก็ได้นะคะ ต้องรู้จักดูแลความดูดีของตัวเองด้วย เพราะเป็นต้นทุนหรือต้นทางของความน่ารัก แม้หน้าตาไม่สวยหล่ออย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากมีความเกลี้ยงเกลา ผุดผาด สะอาด และดูสุขภาพดี ก็ย่อมเป็นที่สะดุดตาน่ามองแล้วค่ะ ดูแลรูปร่างให้ได้ชื่อว่า “หุ่นดี” เข้าไว้ ได้แต้มเป็นต่อมาเกินครึ่งแล้วค่ะ

จากนั้นปรับปรุงทรงผมให้เข้ากับรูปหน้าและยุคสมัย ใช้การแต่งกายมาเสริมความน่ารัก โดยเฉพาะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับต่างๆ หากเลือกได้อย่างเหมาะสมก็ช่วยเพิ่มความน่ามองและน่าประทับใจได้อีกด้วย

2.พูดจาให้น่ารัก

พูดด้วยน้ำเสียงไพเราะเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องดัดเสียง ไม่ต้องทำเสียงสูงเสียงต่ำเหมือนดีเจ ไม่ต้องทำเสียงแอ๊บแบ๊วหรือเสียงขึ้นจมูกเหมือนนางเอกละครโทรทัศน์ ไม่ทำเสียงแปร๋นเหมือนนางร้าย รวมทั้งไม่ต้องเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนตัวตลก หรือตัวตามนางทั้งหลายในจอโทรทัศน์ แต่พูดอย่างที่มนุษย์ธรรมดาสามัญทั่วไปเขาพูดกัน พูดจากความรู้สึกจริงๆ จริงใจ แจ่มใส และสุภาพ พูดด้วยจังหวะที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เสียงดังพอเหมาะแก่การฟัง มีหางเสียง ค่ะ ครับ ทุกครั้งที่สนทนา ยกเว้นเพื่อนสนิทจริงๆ ที่เขาไม่ต้องการหางเสียงเหล่านี้ พูดให้ชัดเจน ถูกอักขรวิธี ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ วรรคตอน ต้องถูกต้องเพื่อให้การสื่อสารไม่ผิดพลาด และต้องพูดให้รื่นหูคน

ที่สำคัญพูดแล้วต้องมีประเด็น ไม่ใช่พูดเรื่อยเปื่อย หรือพูดเพียงเพื่อจะรักษามารยาท จนคู่สนทนารู้สึกได้ การพูดไม่ว่าสั้นหรือยาว เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ต้องมีประเด็นหรือมีเป้าหมายในการพูด เช่น พูดเพื่อให้สบายใจ พูดเพื่อแสดงความเป็นกันเอง ลดความประหม่าตื่นเต้นหรือความรู้สึกแปลกหน้า แปลกที่ ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง พูดเชิญชวน พูดจูงใจ พูดเพื่อบอกกล่าวเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือแม้แต่พูดเพื่อให้คนฟังสนุก เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของการพูด ซึ่งจะทำให้การพูดแต่ละครั้งมีคุณค่า เหมาะสมแก่กาลเทศะนั้นๆ และคนฟังไม่เบื่อ ไม่รำคาญ จนกระทั่งรู้สึกดีใจ สุขใจ หรือได้ประโยชน์จากการฟังได้ยิ่งดีค่ะ

3.มีท่าทีที่น่ารัก

ท่าทีที่น่ารักก็คือ ความสุภาพ ผ่อนคลาย ให้เกียรติ ไม่เหยียดหยามด้วยสีหน้า แววตา คำพูด หรือภาษากายอื่นๆ เช่น ยืนกอดอกด้วยท่าทีระวังตัว จ้องตาเขม็ง มองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หรือทำประหนึ่งว่าเขาเป็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตน หรือมองด้วยหางตาอย่างหมิ่นแคลน เหล่านี้เป็นต้น

คนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูจริงใจ และเป็นมิตร จะมีแรงดึงดูดให้คนเข้าหา เขาจะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย ความเป็นกันเอง การเปิดกว้าง และการให้เกียรติที่คุณสื่อสารผ่านท่าทาง เขาจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คุณ สบายใจและสุขใจที่จะสนทนาด้วย และจดจำได้ว่าคุณน่ารักแค่ไหน

4.มีจิตใจที่น่ารัก

ไม่เย่อหยิ่งจองหองมองคนอื่นด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม แต่จงมีจิตใจที่กว้างขวาง ที่สามารถคบหาคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกฐานะ และทุกอาชีพด้วยความบริสุทธิ์ใจ

มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นรวมถึงความซื่อสัตย์และความไว้ใจได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นคบหาเราด้วยความจริงใจและให้เกียรติเช่นเดียวกัน

จิตใจที่ดีจะส่งผ่านการกระทำที่น่ารัก เช่น ยิ้มหวาน รู้จักทักทาย กล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ คิดถึง เป็นห่วง และรัก ได้อย่างเต็มใจ จริงใจ และน่าประทับใจ

ต้องเคารพและให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ ซึ่งในความเป็นมนุษย์ ไม่มีใครต่ำต้อยหรือสูงส่งไปกว่ากัน ทุกคนรู้ร้อนรู้หนาว รู้สุขรู้ทุกข์ และปรารถนาที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากผู้อื่นเหมือนๆ กันหมด อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไร จงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อนเสมอ

5.มีธรรมชาติและมารยาทที่น่ารัก

ในที่สาธารณะก็รู้จักวางตัว ในที่ส่วนตัวก็มีความเป็นกันเอง สงบ และสำรวมได้ พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนรู้กาลเทศะ และเป็นเช่นนั้นเสมอในทุกๆ ที่

เจอผู้ใหญ่ก็ยกมื้อไหว้ ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส เดินผ่านผู้ใหญ่ก็สำรวม เก็บอาการ และให้เกียรติ ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ไม่แซงคิวคนอื่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ใช้สมบัติสาธารณะอย่างระมัดระวัง ไม่ใช้ของทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด รู้จักประหยัด อดออม ห่วงใย สนใจ และดูแลสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เหล่านี้คือธรรมชาติที่บางทีเราไม่รู้ตัว แต่คนที่ได้รับการขัดเกลามาดี แม้ไม่รู้ตัว ก็ยังแสดงออกในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างน่ารักเสมอ

อยากเป็นคนน่ารัก อย่าเพียงแค่อ่านเพลินๆ นะคะ อะไรที่ยังขาดหายไป ลองไปเพิ่มเติมให้แก่ตัวเองด้วยการลงมือฝึกฝนและปฏิบัติ แล้วคอยสังเกตนะคะ ว่าคุณเป็นที่รักของใครต่อใครมากขึ้นหรือเปล่า มีคนชื่นชมคุณมากขึ้นหรือเปล่า

ไม่ทำก็ไม่รู้หรอกค่ะ ฉะนั้น ลงมือเสียตั้งแต่วันนี้นะคะ ขอให้โชคดี เป็นที่ชื่นชมและที่รักของคนทุกคนนะคะ